【ฝันเห็น เสือ】ทรัมป์ 2.0 เปิดศึกเวียดนามและไทย: ใครเจ็บกว่ากัน THE STANDARD

ความบันเทิง 2025-03-15 10:21:03 14335

รัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่สอง เร่งเดินหน้าใช้มาตรการภาษีกีดกันการค้ากับประเทศต่างๆ แบบไม่แคร์เพื่อน ไม่สนใคร เน้นปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ตามที่หาเสียงไว้ ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลก 25% และยิงตรงขึ้นภาษีกับสินค้าจีน 10% ฝ่ายจีนก็ตอบโต้กลับขึ้นภาษีน้ำมันดิบและอีกหลายสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 10-15% สงครามการค้าเริ่มแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครไม่เจ็บ แม้ว่าจะกระทบผู้ผลิต/ผู้ส่งออกของประเทศเป้าหมาย แต่ในส่วนของสหรัฐฯ เอง ผู้บริโภคอเมริกันก็เจ็บ เนื่องจากต้องจ่ายราคาสินค้าบวกภาษีที่แพงขึ้นเช่นกัน 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

นอกจากคู่ชกหลักของสหรัฐฯ อย่างจีนแล้ว คาดว่าในอีกไม่นานน่าจะถึงคิวของทั้งเวียดนามและไทย เนื่องจากทั้งสองประเทศถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญทั้งสองประเทศไม่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากพอที่จะไปต่อรองหรือต่อต้านมาตรการภาษีของทรัมป์ บทความนี้จึงจะวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบว่า เวียดนามและไทย ใครมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันของทรัมป์มากกว่ากัน 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ในภาพรวมทั้งเวียดนามและไทยต่างก็พึ่งพาภาคต่างประเทศและพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ แต่มีโครงสร้างเศรษฐกิจและรูปแบบการพึ่งพาที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ระดับความเสี่ยงที่แต่ละประเทศจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป จึงแบ่งการวิเคราะห์ออกไปในแต่ละประเด็น ดังนี้

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ประการแรก ด้านการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ พบว่า เวียดนามมีอัตราพึ่งพาภาคการค้าต่างประเทศ Trade-to-GDP สูงมากประมาณ 200% ในขณะที่ไทยมีอัตรา Trade-to-GDP ประมาณ 110% ซึ่งแม้ว่าจะสูงแต่ก็ต่ำกว่าเวียดนาม จึงสะท้อนว่าเศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาการค้าโลกมากกว่าไทย ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเจ็บมากกว่าหากเกิดสงครามการค้าในวงกว้าง

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ในแง่โครงสร้างสินค้าส่งออก เวียดนามพึ่งพาการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และรองเท้า (ประมาณ 70% ของการส่งออก) ซึ่งเป็นสินค้าที่อ่อนไหวต่อความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานของโลก ในขณะที่ไทยพึ่งพาการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรกรรม (เช่น ยางพารา ข้าว) ซึ่งมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรและอุปสงค์รถยนต์

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

นอกจากนี้ เวียดนามมีสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP สูงกว่าไทย ประมาณ 93% ของ GDP เวียดนาม (ตัวเลขปี 2022) เมื่อเทียบกับดัชนีเดียวกันของไทย อยู่ที่ประมาณ 58% ของ GDP ไทย จึงสะท้อนว่าเวียดนามเสี่ยงต่อความผันผวนของอุปสงค์โลกมากกว่า 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ดังนั้นหากต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันของรัฐบาลทรัมป์ หรือเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ การค้าโลกชะลอตัว เวียดนามย่อมจะได้รับผลกระทบหนักกว่าไทย

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ประการที่สอง ด้านการพึ่งพาตลาดส่งออกหลัก พบว่า ทั้งเวียดนามและไทยต่างพึ่งพาตลาดหลักใกล้เคียงกัน (สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป) ที่สำคัญเวียดนามพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนสูงประมาณ 28% ของการส่งออกทั้งหมด ในขณะที่ไทยพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ สัดส่วน 17% ดังนั้นหากรัฐบาลทรัมป์ขึ้นภาษีกีดกันการค้าในอัตราสูง ใครพึ่งพาสหรัฐฯ มากก็จะเจ็บมาก ย่อมทำให้เวียดนามได้รับผลกระทบหนักกว่าไทย นอกจากนี้เวียดนามอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ มากอันดับ 3 (มากกว่าไทย) ย่อมจะมีความเสี่ยงมากกว่า 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ประการที่สาม ด้านการพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) พบว่า มูลค่าของการลงทุน FDI ในเวียดนามคิดเป็นสัดส่วน 6-8% ของ GDP เวียดนาม ในขณะที่ไทยมีการลงทุน FDI คิดสัดส่วนประมาณ 3-4% ของ GDP ไทย ทำให้เวียดนามพึ่งพาการลงทุน FDI มากกว่าไทย และ FDI ในเวียดนามส่วนใหญ่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก เศรษฐกิจเวียดนามจึงมีความเสี่ยง หากผลของมาตรการทรัมป์ 2.0 ทำให้การค้า/การลงทุนชะลอตัว หรือมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ย้ายฐานได้ง่าย

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

นอกจากนี้ เวียดนามพึ่งพาการลงทุนจากบริษัทอเมริกันหลายแห่ง ทั้งกลุ่มบิ๊กเทค เช่น Intel และ Apple และกลุ่มอื่นๆ เช่น Nike หากบริษัทเหล่านี้ย้ายฐานผลิต/ชะลอไม่ขยายการผลิต เนื่องด้วยนโยบายของทรัมป์ที่จะดึงการลงทุนกลับไปสหรัฐฯ เพื่อจ้างงานคนอเมริกัน ก็ย่อมสร้างความไม่แน่นอนด้าน FDI ในเวียดนาม ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจเวียดนาม 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ในแง่โครงสร้าง FDI พบว่า การลงทุน FDI ในเวียดนามส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น สมาร์ทโฟน) ซึ่งเชื่อมโยงผูกพันกับห่วงโซ่ระดับโลกมากกว่ากรณีของ FDI ในไทยที่ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก เช่น รถยนต์ รวมทั้งภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว และการเงิน ดังนั้นหากมาตรการของทรัมป์ 2.0 มีผลทำให้กระแส FDI เปลี่ยนทิศ การลงทุนของต่างชาติในเวียดนามอาจจะชะลอตัว และกระทบเวียดนามมากกว่าไทย 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ที่สำคัญเวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่แข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ เวียดนามเป็นฐานผลิตสำคัญของจีน หากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรุนแรงขึ้น เวียดนามย่อมมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเชื่อมโยงกับสองมหาอำนาจ

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ประการที่สี่ ด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แม้ว่าจะเป็นปัจจัยที่ไม่ใช่ด้านเศรษฐกิจโดยตรง แต่ก็มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์สหรัฐฯ-เวียดนาม โดยเฉพาะความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Importance) ของเวียดนามในสายตาสหรัฐฯ เพื่อใช้คานอำนาจจีน สหรัฐฯต้องการ ‘สร้างความเป็นมิตร’ กับเวียดนาม เพื่อสกัดอิทธิพลจีน รัฐบาลไบเดนเพิ่งจะยกระดับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-เวียดนามขึ้นเป็น ‘หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้าน’ (Comprehensive Strategic Partnership) เวียดนามจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับสหรัฐฯ ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจจะเบามือ/ไม่ขึ้นภาษีอย่างหนักหน่วงกับเวียดนาม เพราะไม่ต้องการผลักให้เวียดนามยิ่งเอนเอียงไปพึ่งพาจีน

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

นอกจากนี้ทรัมป์ยังมีผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวในเวียดนามผ่านการลงทุนของครอบครัวทรัมป์ (Trump Organization) ในโครงการลงทุนมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสนามกอล์ฟและโรงแรมในเมืองบ้านเกิดของ โต เลิม เลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงฮานอย

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าหลังจากที่สหรัฐฯ สถาปนาความสัมพันธ์กับเวียดนามตั้งแต่ปี 1995 ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทุกคน (บิล คลินตัน, จอร์จ บุช, บารัก โอบามา, ทรัมป์ และ โจ ไบเดน) ต่างก็เดินทางไปเยือนเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรกเดินทางไปเวียดนามบ่อยถึง 2 ครั้ง 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

การเปรียบเทียบความเสี่ยงจากผลกระทบของทรัมป์ 2.0 ต่อเวียดนามและไทย สรุปในตาราง

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ตารางสรุปความเสี่ยงของผลกระทบทรัมป์ 2.0 ต่อเวียดนามและไทย

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

โดยสรุป รัฐบาลทรัมป์ในสมัยที่สองทำให้ทั้งไทยและเวียดนามต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันการค้า ความตึงเครียดทางการค้า ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยที่ไม่แน่นอนอื่นๆ

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ในแง่เศรษฐกิจ เวียดนามมีความเสี่ยงมากกว่าไทย เนื่องจากเวียดนาม (1) มีการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนของต่างชาติ FDI ในสัดส่วนสูงกว่า (2) มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นอุตสาหกรรมแปรรูปซึ่งเชื่อมโยงกับห่วงโซ่โลกที่เปราะบาง (3) มีความอ่อนไหวต่อความขัดแย้งทางการค้าและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานมากกว่า ดังนั้นหากเกิดสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น การค้า/การลงทุนชะลอตัว เวียดนามย่อมจะมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบหนักกว่าไทย 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ เวียดนามมีความสำคัญเป็นพิเศษในสายตาสหรัฐฯ และทรัมป์ไม่ต้องการผลักเวียดนามให้เอนเอียงไปหาจีน ดังนั้นเพื่อรักษาความเป็นมิตรกับเวียดนาม ทรัมป์อาจจะไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงมาก และไม่ใช้มาตรการกีดกันการค้ากับเวียดนามที่รุนแรงมากเกินไป

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

สำหรับบทเรียนจากความเสี่ยงของสงครามการค้าครั้งใหม่ ทั้งสองประเทศจำเป็นต้องลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และกระจายความเสี่ยง เร่ง Diversify กระจายตลาดส่งออกใหม่ๆ ให้มากขึ้น หันมาค้าขายกันเองในประเทศเอเชีย และประเทศในภูมิภาคโลกขั้วใต้ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ/มีกำลังซื้อมากขึ้น พร้อมกันนี้ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งจากภายในอย่างจริงจังเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เร่งสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง (เช่น เน้นเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการผลิต และส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรม) เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

 

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากัน

ภาพ: Kevin Lamarque / Reuters, motioncenter via ShutterStock

ทรัมป์เปิดศึกเวียดนามและไทยใครเจ็บกว่ากันTAGS:  Donald Trump
本文地址:http://realhistorychan.com/html/11d599411.html
版权声明

本文仅代表作者观点,不代表本站立场。
本文系作者授权发表,未经许可,不得转载。

热门文章

全站热门

ดีต่อใจ"TYLER, THE CREATOR"ปักหมุดเวิล์ดทัวร์เพิ่ม ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ | เดลินิวส์

ฝุ่น PM 2.5 กลับมาทำลายปอดเราอีกครั้ง! | เดลินิวส์

BEM มอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อใช้ปฏิบัติงานดูแลความปลอดภัยผู้ใช้ทางพิเศษ | เดลินิวส์

Redirecting...

นโยบายเมืองเพื่อเด็ก: 4 มาตรการของกรุงเทพฯ พัฒนา Gen Alpha

ฝุ่น PM 2.5 กลับมาทำลายปอดเราอีกครั้ง! | เดลินิวส์

ใส่รองเท้าผิด ‘เท้า’ บิดผิดรูป | เดลินิวส์

ทำตามได้ง่ายๆ ไม่ต้อง นวดบิดคอ ก็หายปวดเมื่อยได้ด้วยตัวเอง | เดลินิวส์

热门文章

友情链接